วันที่ 23 มิ.ย.65 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารที่ทำการกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวแห่งใหม่ บริเวณพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญให้กำลังใจข้าราชการตำรวจท่องเที่ยวกว่า 2,000 นาย โดยในงานได้มี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มาร่วมในพิธีด้วย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและให้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมป้องกันโรค เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ สามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติ นอกจากนี้ยังปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.65 เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินเข้าประเทศได้สะดวก ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากยิ่งขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย บช.ทท. และ สตม. มีการเตรียมมาตรการรองรับ 3 มาตรการ ดังนี้
1.ด้านความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ
โดยเฉพาะขั้นตอนการเข้า-ออกประเทศ สตม. ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ ไว้ประจำสนามบินนานาชาติ ทั้ง 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ กว่า 2,000 นาย มีการเสนอให้ยกเว้นการยื่นรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ ตม.6) เฉพาะกรณีการเดินทางผ่านด่านท่าอากาศยาน อยู่ระหว่างรอผู้มีอำนาจลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือน มิ.ย. 2565 นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการนำร่อง การขอนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Extension นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในการให้บริการ เพื่อลดความแออัด ลดขั้นตอน และระยะเวลาการให้บริการ รวมถึงการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คาดจะสามารถเปิดให้บริการแก่คนต่างด้าวได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2565
2.ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
การระวังป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ทั้งตัวเจ้าหน้าที่เอง และนักท่องเที่ยว รวมถึงอุบัติภัยหรืออาชญากรรมต่างๆ ได้สั่งการให้ สตม. และ บช.ทท. เชิญผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว มาประชุมเพื่อขอความร่วมมือให้มีการแจ้งที่พักตามกฎหมายให้ครบถ้วน 100% เพื่อสะดวกในการติดตามตัวและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหมั่นออกกวดขันตรวจตราผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน นอกจากนี้ได้มีการสั่งการให้ ตำรวจท่องเที่ยว ให้ประสานผู้ประกอบการในพื้นที่ตนเองในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปพักอาศัย หรือใช้บริการสถานที่ต่างๆให้มีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว โดยตำรวจท่องเที่ยวได้พัฒนาระบบแบบตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อนำไปเป็น ระบบปฏิบัติการสายตรวจตำรวจท่องเที่ยว และการจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่น รวมถึงจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม ให้มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังมี โครงการ Tourist Police i lert u เป็น Application เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถ download พร้อมติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ เพิ่มช่องทางการติดต่อและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว หากเกิดเหตุกับนักท่องเที่ยว App ดังกล่าวยังสามารถระบุพิกัดสถานที่ของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การประสานงานและช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ข้อมูลจากนักท่องเที่ยวจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์ Hot line 1155 ให้บริการ 30 คู่สาย ตลอด 24 ชม. มีล่ามภาษา 5 ภาษา คือ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย จีน พร้อมให้บริการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ แจ้งเหตุ ร่วมกับ สถานีตำรวจท่องเที่ยว 32 สถานี และบูรณาการกับหมายเลขศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 สอดประสานทำงานร่วมกับสถานีตำรวจทั่วประเทศอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว
3.ด้านของการให้บริการ
ให้นักท่องเที่ยวเกิดความ “อบอุ่น ประทับใจ” ที่ได้มาเที่ยวประเทศไทยนั้น มีการขอความร่วมมือภาคีเครือข่าย และประชาชนดูแลนักท่องเที่ยวให้เกิดความ “อบอุ่น ประทับใจ” สถานที่ท่องเที่ยวต้องมีมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มงวด
ขอบคุณรูปภาพจาก POLICETV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ