ที่ผ่านมามีข่าวสร้างผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอก “หวังซิง” ดาราจีน จากเมืองไทย หายไปชายแดนไทย-เมียนมา จนจเรตำรวจแห่งชาตินำทีมตามตัวกลับมาได้ จนข่าวกลายเป็นไวรัลทั่วแดนมังกร ส่งผลต่อความเชื่อมั่นความปลอดภัยประเทศไทย ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และทุนจีนเทาที่มาตั้งฐานทำธุรกิจสีเทา ใช้ “นอมินีคนไทย” เลี่ยงกฎหมาย แล้วแย่งงานคนไทย และคนไทยไม่ได้ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ดูแลแขกผู้มาเยือน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นไทยในทางลบอย่างมาก
ยิ่งปี 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศเป็นปี “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” จุดพลังเที่ยวไทยสุดยิ่งใหญ่ อีกทั้งได้ปรับรูปแบบเมืองรองการท่องเที่ยวเป็น “เมืองน่าเที่ยว” ทั่วไทย ตั้งเป้ายอดอาคันตุกะมาเยือน ถึง 40 ล้านคน
พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) รหัสเรียกขาน “ท่องเที่ยว 1” เปิดเผยว่า รัฐบาลสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันหารือเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการเดินทางเข้า-ออกไทยของนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น เพื่อให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ สร้างแรงจูงใจให้มาเที่ยวไทย ได้ขอให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันปราบอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาด และดูแลความรักษาความปลอดภัย อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว แต่ข้อจำกัดกำลังพลตำรวจท่องเที่ยวไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ จึงมีแนวคิดเพิ่มกำลังพลตำรวจท่องเที่ยวที่มีเพียง 1,800 นาย 32 สถานี ให้เสมือนมีกำลังพลตำรวจทั่วประเทศเท่ากับ 2 แสนนาย มาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว
จึงมีไอเดียยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ไปยัง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปทท.ตร.) หรือ Tourist Safety Operations Center : TSOC ปรากฏว่า บิ๊กต่ายไฟเขียว ให้มี “ศปทท.ตร.” โดย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. งานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม นั่งเป็นผู้อำนวย ศปทท.ตร. ขับเคลื่อนให้ตำรวจทุกกองบัญชาการทั่วประเทศร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ป้องกันเหตุเชิงรุก
โดยเมื่อเปิดโครงสร้าง ศปทท. พบว่า มีระดับจังหวัด เรียกว่า “ศปทท.ภ.จว.” มี รอง ผบก.ภ.จว. ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามเป็นหัวหน้าศูนย์ และตำรวจท่องเที่ยวเป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีคณะทำงานตำรวจพื้นที่ ฝ่ายปกครอง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ขับเคลื่อนแก้ปัญหาการท่องเที่ยวในพื้นที่
ทีม “ศปทท.ภ.จว.” จะร่วมกันวางแผนการออกตรวจในแหล่งท่องเที่ยวตามวงจรการท่องเที่ยว ที่พัก ที่กิน ที่เที่ยว ที่จำหน่ายสินค้าบริการ และสถานขนส่ง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ประสานงานในการรับแจ้งเหตุและร่วมเข้าระงับเหตุช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ร่วมทั้งการอำนวยความยุติธรรมด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม กรณีเกิดเหตุกับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ และพื้นที่ไหนเป็นชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง บช.ทท.มีกล้องวงจรปิด ทำระบบ AI ตรวจจับใบหน้า เชื่อมกับฐานข้อมูลหมายจับของตำรวจสอบสวนกลาง หากพบเป็นบุคคลที่มีหมายจับลักทรัพย์ ฉ้อโกง แก๊งลวงกระเป๋า หรือคดีเกี่ยวกับเพศ เข้าในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาจจะเข้าไปก่อเหตุต่างๆ ได้ ระบบ AI จะมีการแจ้งให้ทราบ ตำรวจจะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบ จับกุม ตามฎหมายต่อไป
“บิ๊กเผือก” ยังให้ข้อมูลอีกว่า ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Thailand Tourist Police” ให้นักท่องเที่ยวดาวน์โหลดเพื่อรับข้อมูลการท่องเที่ยว และแจ้งเหตุขอความช่วยเหลือผ่านฟังก์ชั่นโทรผ่านแอพพ์ และ Chat Bot ส่งข้อความ รูปภาพ รวมถึงพิกัดสถานที่ให้เข้าช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว และเชื่อมโยงระบบศูนย์รับแจ้งเหตุตำรวจท่องเที่ยว 1155 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ล่ามแปลภาษา 8 ภาษา ตลอด 24 ชั่วโมง กับศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ของตำรวจท้องที่ ร่วมกันระงับเหตุที่จะเกิดกับนักท่องเที่ยว ช่วยให้การประสานงานระหว่างนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมาก และทำงานร่วมกับสถานทูตที่ประจำประเทศไทย เพราะฉะนั้น การตั้ง “ศปทท.ตร.” ถือว่าสอดคล้องกับนโยบาย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำรัฐบาล และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ให้เข้มงวดเรื่องการให้ความปลอดภัย ดูแลนักท่องเที่ยวตลอดการเดินทางในประเทศไทย ให้มีมาตรฐาน เกิดความมั่นใจในความปลอดภัย ตามนโยบายรัฐบาลที่จะให้ประเทศไทยเป็น “Tourism Hub” ในภูมิภาค ดังนั้น ความพร้อมในการรองรับและดูแลนักท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องสำคัญในอันดับต้น โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ชลบุรี เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร สงขลา สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต
เมื่อเร็วๆ นี้ “บิ๊กเผือก” ในฐานะหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ศปทท.ตร. ได้เดินทางไปขับเคลื่อน ศปทท.ภ.จว.ภูเก็ต ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ร่วมรับฟังปัญหาในพื้นที่ โดยเฉพาะกรณีต่างด้าวกระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ถ้า ศปทท.ตร.ได้บูรณาการความร่วมมือกันและทำงานอย่างเป็นระบบ โดยตำรวจทั้ง 2 แสนนายมีจิตสำนึกร่วมกันในดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว จะสร้างความมั่นใจการเดินทางมาเที่ยวไทยได้